วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554



วันงดสูบบุหรี่โลก เริ่มมีการจัดงานครั้งแรกในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2531 เนื่องจากองค์การอนามัยโลกเล็งเห็นอันตรายของบุหรี่และสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่ไม่สูบแต่ต้องมารับควันบุหรี่ด้วย จึงจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า World No Tobacco Day เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่สูบบุหรี่อยู่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม อีกทั้งยังได้ประกาศให้มีการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ที่ใช้ชื่อว่า World Spidemic ซึ่งสื่อถึงการสูบบุหรี่ที่เป็นเหมือนโรคระบาดที่ระบาดอยู่ทั่วโลก โดยในวันงดสูบบุหรี่โลกในแต่ละปี ก็จะมีคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลกที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2531 คือ บุหรี่หรือสุขภาพ ต้องเลือกสุขภาพ (Between tobacco and the health, choose health)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2532 คือ พิษของบุหรี่ต่อสตรี ยิ่งมีมากกว่าบุรุษ (Women and Tobacco: Added risk)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2533 คือ เติบโตอย่างสดใส ห่างไกลจากภัยบุหรี่ (Growing up without tobacco)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2534 คือ สถานที่สาธารณะและยวดยานปลอดบุหรี่ (Public places and transport: Better be tobacco free)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2535 คือ ที่ทำงานปลอดบุหรี่ สุขภาพดี ชีวีปลอดภัย (Tobacco free work places: Safer and healthier)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2536 คือ บุคลากรสาธารณสุขร่วมสร้างสรรค์สังคมปลอดบุหรี่ (Health services, our window to a tobacco – free world)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2537 คือ ทุกสื่อร่วมใจต้านภัยบุหรี่ (The media against tobacco)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2538 คือ บุหรี่ก่อความสูญเสียมากกว่าที่คุณคิด (Tobacco costs more than you think)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2539 คือ ศิลปะและกีฬาไม่พึ่งพาบุหรี่ (Sport and the arts: play it tobacco free)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2540 คือ ผนึกกำลังเพื่อสังคมปลอดบุหรี่ (United for a Tobacco – free world)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2541 คือ คนรุ่นใหม่ไม่สูบบุหรี่ (Growing up without tobacco)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2542 คือ อนาคตมีคุณค่า เมื่อบอกลา...เลิกบุหรี่ (Leave the pack behind)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2543 คือ บุหรี่คร่าชีวิต อย่าหลงผิดตกเป็นเหยื่อ (Tobacco kills don’t be Duped)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2544 คือ เห็นใจคนรอบข้าง ร่วมสร้างอากาศสดใส ปลอดจากภัยควันบุหรี่ (Second-Hand Smoke: Let’s Clear the Air)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2545 คือ กีฬาปลอดบุหรี่ ส่งผลดีต่อสุขภาพ (Tobacco Free Sports – Play it clean)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2546 คือ ภาพยนตร์ปลอดบุหรี่ ส่งผลดีต่อเยาวชน (Tobacco free films tobacco free fashion)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2547 คือ บุหรี่ : ยิ่งสูบ...ยิ่งจน (ครอบครัวปลอดบุหรี่ จะมั่งมีและแข็งแรง) (Tobacco and Poverty (A Vicious Circle))

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2548 คือ ทีมสุขภาพร่วมใจ ขจัดภัยบุหรี่ (Health Professionals and Tobacco Control)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2549 คือ บุหรี่ทุชนิดนำชีวิตสู่ความตาย (Tobacco: Deadly in any form or disguise)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2550 คือ ไร้ควันบุหรี่ สิ่งแวดล้อมดี ชีวีสดใส (100% Smoke-Free Environments: Create and Enjoy)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2551 คือ เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่ (Tobacco - free Youth)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2552 คือ บุหรี่มีพิษ ร่วมคิดเตือนภัย (Tobacco Health Warnings)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2553 คือ หญิงไทยฉลาด ไม่เป็นทาสตลาดบุหรี่ (Genderand Tobacco Withan Emphasis on Marketing to women)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2554 คือ พิทักษ์สิทธิตามกฏหมาย มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่ (The WHO Framework Convention on Tobacco Control)

วันงดสูบบุหรี่โลก 2554

อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยก็ได้ตระหนักถึงความสูญเสีย ทางด้านชีวิตของประชากรที่เกิดจากการสูบบุหรี่ จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ รวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆ โดยการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะพยายามให้เกิดการเลิกสูบบุหรี่ ดังเช่นที่กระทรวงได้ประกาศบังคับใช้มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 ให้มีการพิมพ์คำเตือน และโทษของการสูบบุหรี่ที่ข้างซอง ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 มีนาคม พ.ศ.2548 เป็นต้นมา อีกทั้งยังมีกฏหมายที่ใช้คุ้มครองสุขภาพประชาชน ได้แก่

1. พระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ที่มีสาระสำคัญในการประกาศเขตปลอดบุหรี่ ซึ่งแบ่งเขตปลอดบุหรี่ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

- เขตปลอดบุหรี่อย่างแท้จริง เช่น รถยนต์โดยสารประจำทาง ทั้งแบบปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ รวมถึงแท็กซี่ ตู้รถไฟปรับอากาศ และห้องชมมหรสพ

- เขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด เช่น โรงเรียน ห้องสมุด แต่ยกเว้นห้องส่วนตัว

- เขตปลอดบุหรี่เกือบทั้งหมด เช่น สถานพยาบาล ศูนย์การค้า สถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ หากจะสูบก็ให้สูบเฉพาะในเขตสูบบุหรี่

- เขตปลอดบุหรี่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพื้นที่นั้นๆ เช่น ตู้รถไฟโดยสารทั่วไปที่ไม่ใช่แบบปรับอากาศ และร้านขายอาหารทั่วๆ ไป เฉพาะบริเวณที่มีระบบปรับอากาศ แต่ต้องจัดเขตสูบบุหรี่ไม่ให้เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด

2. พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่มีสาระสำคัญในการห้ามขายบุหรี่ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท รวมถึงห้ามขายสินค้าอื่นและแถมบุหรี่ให้ หรือขายบุหรี่แล้วแถมสินค้าอื่น และห้ามการโฆษณาทั้งทางตรงและทางอ้อม

วันงดสูบบุหรี่โลก 2554

โทษของบุหรี่

การสูบบุหรี่นั้นถือเป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งต่อผู้สูบเองและผู้อยู่ใกล้ชิดที่สูดเอาอากาศที่มีควันบุหรี่เข้าไป เพราะควันบุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และมีสารก่อมะเร็ง ไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารอันตรายที่สำคัญ เช่น

คาร์บอนมอนอกไซด์

ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถจับออกซิเจนได้เท่ากับเวลาปกติ หากได้รับจะเกิดการขาดออกซิเจน ทำให้มึนงง ตัดสินใจช้า เหนื่อยง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ

นิโคติน

เป็นสารระเหยในควันบุหรี่ มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง มีผลต่อต่อมหมวกไต ทำให้เกิดการหลั่งอิพิเนฟริน ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจ เต้นเร็วกว่าปกติ และไม่เป็นจังหวะ หลอดเลือดที่แขนและขาหดตัว เพิ่มไขมันในเส้นเลือด (ก้นกรองไม่ได้ทำให้ปริมาณนิโคตินลดลงได้)

ทาร์ หรือน้ำมันดิน

เป็นคราบมันข้นเหนียว สีน้ำตาลแก่ เกิดจากการเผาไหม้ของกระดาษและใบยาสูบ และเป็นสารก่อมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด, กล่องเสียง, หลอดลม. หลอดอาหาร, ไต, กระเพาะปัสสาวะ และอื่นๆ ร้อยละ 50 ของน้ำมันดินจะไปจับที่ปอด เกิดระคายเคือง ทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะ

จากการสำรวจพบว่าผู้ที่เป็นมะเร็งปอดนั้น ร้อยละ 90 เป็นผลเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ โดยมีผลวิจัยระบุว่า ผู้ที่สูบบุหรี่เกินวันละ 1 ซอง จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 5-20 เท่า

ผู้ที่สูบบุหรี่ยังเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ อาจมีอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอถี่จนไม่สามารถนอนได้ นอกจากนี้ทาร์ในควันบุหรี่จะสะสมอยู่ในปอด จะทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพอง ทำให้หายใจขัด หอบ และหากเป็นเรื้อรังอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ง่ายเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นยังพบว่าการสูบบุหรี่ ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล โรคความดันเลือดสูง โรคตับแข็ง โรคปริทนต์ โรคโพรงกระดูกอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคหัวใจ เป็นต้น และยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของผู้สูบบุหรี่อีกด้วย


ผลข้างเคียงต่อบุคคลอื่น

การสูบบุหรี่นอกจากจะเป็นอันตรายต่อผู้สูบเองแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อผู้ใกล้ชิดอีกด้วย คือ หากเด็กได้รับควันบุหรี่ จะป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หอบหืด หูชั้นนอกอักเสบเพิ่มมากขึ้น หากหญิงมีครรภ์ได้รับควันบุหรี่ จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มน้อยกว่าปกติ รวมทั้งมีโอกาสแท้ง และคลอดก่อนกำหนด อีกทั้งยังส่งผลต่อทารกในครรภ์ที่อาจทำให้สมองช้ากว่าปกติ มีความผิดปกติทางระบบประสาท และระบบความจำ

ขณะที่คู่สมรสของผู้สูบบุหรี่ มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอดมากกว่าคู่สมรสที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2 เท่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ 3 เท่า และเสียชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 4 ปีคนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม แม้บุหรี่จะมีโทษมากมาย แต่ก็ยังมีคนสูบ ทำให้รัฐต้องออกมาตรการ หรือกฎหมายควบคุมการสูบบุหรี่ด้วย ทั้ง สวนสาธารณะ, สนามบิน, สถานีรถไฟ, สถานศีกษา, ร้านค้า, ผับ, เธค และสวนอาหาร เป็นต้น หากฝ่าฝืนก็จะต้องเสียค่าปรับ

อืม… นอกจากบุหรี่จะมีโทษมหันต์ต่อผู้สูบและคนใกล้ชิดแล้ว การสูบผิดสถานที่อาจทำให้ติดคุก หรือเสียเงินได้เช่นกัน… ฉะนั้นเราลองหันมาเลิกสูบบุหรี่กันดีกว่าไหม เพื่อสุขภาพของคุณเอง รวมทั้งคนที่คุณรักด้วย

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554



สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง)บ้านราชาวดี
สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง) หรือเป็นที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งว่า บ้านราชาวดีหญิง เป็นหน่วยงานในสังกัด สำนักบริการสวัสดิการสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ความเป็นมา
สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง) เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2540 โดยแยกออกจากสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา เนื่องจากเด็กมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เกิดปัญหาความแออัดและยากต่อการดูแล
กรมประชาสงเคราะห์(เดิม) จึงอนุมัติให้แยกการดูแลออกเป็นสถานสงเคราะห์สำหรับเด็กชาย และเด็กหญิงซึ่งมีความบกพร่องทางสมองและปัญญา
ที่ตั้งอยู่เลขที่ 78/15 หมู่ที่ 1 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นที่ดินราชพัสดุโดยมีเนื้อที่ทั้งสิ้น 27 ไร่เศษ การก่อสร้างอาคาร สิ่งก่อสร้างต่างๆ ได้รับการบริจาคเงินและการสนับสนุนจากภาคเอกชน องค์กร ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป จึงสามารถเปิดดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2540 เป็นต้นมา
สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง) มีภารกิจหลักในการให้การเลี้ยงดูเด็กหญิงอายุระหว่าง 7-18 ปี ที่มีความบกพร่องทางสมองและปัญญา โดยจัดให้มีบริการด้านปัจจัยสี่ บริการทางการแพทย์ การรักษาพยาบาล การสังคมสงเคราะห์การศึกษาพิเศษ ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ เพื่อให้เด็กในความอุปการะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างทัดเทียมกับบุคคลอื่น มีความสุขตามอัตภาพ
ปัจจุบันนี้สถานสงเคราะห์ฯให้การอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงจำนวน 565 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2553)
วัตถุประสงค์
1เพื่อให้การอุปการะเลี้ยงดูเด็กพิการทางสมองและปัญญาอายุระหว่าง 7-18 ปี โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
-เป็นเด็กกำพร้า ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู ไร้ที่พึ่ง ถูกทอดทิ้ง
-เป็นเด็กเร่ร่อนพลัดหลง ไม่สามารถติดตามบิดามารดา หรือผู้ปกครองได้
-เป็นเด็กที่ประสบปัญหาครอบครัว เช่น ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่สามารถให้การเลี้ยงดูได้อย่างเหมาะสม
บิดามารดาเจ็บป่วยเรื้อรังเป็นโรคจิตฟั่นเฟือน ฯลฯ
-เป็นเด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมทางสังคม ถูกละเมิดสิทธิต่างๆ อันเนื่องมาจากความบกพร่องทางปัญญา
2เพื่อเป็นหน่วยรองรับเด็กหญิงพิการทางสมองและปัญญาทั่วประเทศ ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน โดยการนำส่งของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรการกุศล ตลอดจนครอบครัวของผู้ประสบปัญหาโดยตรง
3เพื่อพัฒนา ฟื้นฟูสมรรถภาพของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ
4เพื่อให้เด็กสามารถใช้ศักยภาพที่ตนมีดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ
5เพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน บุคคลทั่วไป
ให้ยอมรับเด็กพิการทางสมองและปัญญาเป็นส่วนหนึ่งในสังคม

พันธกิจ
- ให้การเลี้ยงดู ฟื้นฟู พัฒนาเด็กพิการทางสมองและปัญญาหญิงให้มีศักยภาพ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามสภาพความพิการทั้งในชีวิตประจำวัน และสามารถออกไปดำเนินชีวิตร่วมกับคนในสังคมได้
- พัฒนาการจัดบริการแก่เด็กพิการทางสมองและปัญญาหญิงตามมาตรฐานการจัดบริการคนพิการในสถานสงเคราะห์
- สนับสนุนชุมชน และเครือข่ายให้มีส่วนร่วมในการจัดบริการสวัสดิการแก่เด็กพิการในสถานสงเคราะห์ และคนพิการในชุมชน
- พัฒนาระบบการบริหารจัดการและบุคลากร

เป้าหมาย
- เพื่อให้เด็กพิการทางสมองและปัญญา ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมต่อสภาพความพิการ และได้รับการปกป้องคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายที่ตนพึงมี
- เพื่อให้การเลี้ยงดูให้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการด้านต่างๆ สมวัย สามารถใช้ศักยภาพภายในตนเองได้อย่างใกล้เคียงบุคคลอื่นในสังคมภายนอก
- เพื่อให้เด็กได้รับการฟื้นฟูพัฒนาด้านจิตใจ เกิดทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์ สังคม และสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้โดยง่าย
- เพื่อให้การส่งเสริมด้านการศึกษาเฉพาะทาง ส่งเสริมทักษะทางอาชีพ ตลอดจนช่วยจัดหาอาชีพ และผู้มีอุปถัมภ์ที่เหมาะสมให้กับเด็กที่มีความพร้อม
- เพื่อติดตามครอบครัว และส่งกลับคืนสู่ความอุปการะของครอบครัว