
“ความสามัคคีปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความรักใคร่เผื่อแผ่ช่วยเหลือกันฉันท์ญาติพี่น้อง สองประการนี้คือคุณลักษณะสำคัญของคนไทย ที่ช่วยให้ชาติบ้านเมือง อยู่รอดเป็นอิสระและเจริญมั่นคงมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ตราบใดที่เราทั้งหลายรักษาความเป็นไทยนี้ไว้ได้ ชาติบ้านเมืองก็จะดำรงมั่นคงอยู่ตราบนั้น ความเป็นไทยจึงเป็นสมบัติล้ำค่าที่เราต้องถนอมไว้เป็นนิจตลอดไป”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัฐบาลจะมีความก้าวหน้ามั่นคงมากขึ้นตามปณิธานที่ตั้งไว้ในเรื่องความปรองดองของคนในชาติ
สิ่งที่จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จคือ ความรักความสามัคคีของทุกคนในชาติซึ่งจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
ผูกพันจิต ใจของพวกเราทุก คนไว้ นอกจากนี้ยังรวมถึง ความมีคุณธรรม จริยธรรม ความเป็น เอกภาพในการบริหารประเทศชาติการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า ตลอดจนความมีอุดมการณ์ของการเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอีกด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างในการสร้างพลังแห่งความสามัคคีให้กับสังคมและพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธารัฐบาล อันจะช่วยกันนำความสงบสุข และความเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาสู่ประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคนสืบไป
จากเหตุการณ์ทางการเมืองที่สร้างความแตกแยก สร้างความบอบซ้ำอย่างใหญ่หลวงให้กับสังคมคนไทย ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัว สามี ภรรยา หรือพี่น้อง ความขัดแย้งทำให้การเกิดปากเสียงหรือพูดง่ายๆความสุขในครอบครัวลดน้อยลงจากความคิดที่แตกต่าง แต่อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆเหล่านั้นผ่านพ้นไป ใช่ว่าความสุขเก่าๆจะกลับมาเหมือนเดิม ความหวาดระแวง การแบ่งฝ่ายก็ยังเก็บซ่อนอยู่ในใจอีกหลายคน ทีนี้เราจะทำอย่างไรที่จะให้คนไทยทุกคนช่วยกันทำประเทศไทยให้สงบสุขน่าอยู่อีกครั้งหนึ่ง
ถ้าจะพูดไปขณะนี้สังคมไทยถลำลึกตกในวงจรอุบาทว์ความรุนแรง ซึ่งห่วงว่าสังคมไทยจะเป็นสังคมที่บ้านเมืองเกลียดชังกันระหว่างสีต่างๆ เกิดการเมืองแบบแบ่งเขาแบ่งเรา ซึ่งทำให้ยากต่อกระบวนการฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับคืนดังเดิม ดังนั้นเราทุกคนต้องช่วยกันทำการบ้านข้อนี้ ทั้งระยะสั้นและยาว ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเพียงระยะสั้นที่ทำกันอยู่ในขณะนี้อย่างเดียว เราต้องร่วมกันคืนความเป็นมนุษย์กลับมา และอย่าลืมว่า การให้อภัยเป็นยาสามัญประจำใจ ถ้าเรารู้จักให้ก็จะรักษาความเจ็บปวดได้ การให้อภัยจะทำให้ความบอบช้ำทางใจของเราฟื้นกลับคืนมาได้โดยเร็ว หรือท่านผู้อ่านยังคิดว่าเราจะยังคงเก็บความทรงจำความเจ็บแค้นนี้เอาไว้ให้นานแสนนาน ไม่ยอมแม้แต่คำว่า ”อภัย” ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะหาความสุขในสังคมไทยได้อย่างไร เมืองไทยจะเป็น”สยามเมืองยิ้ม” เป็นเมืองที่น่าอยู่ได้อย่างไร นอกจากคำว่า "อภัย" การละวาง ก็คงจะนำความสุขกลับคืนมาได้เช่นกันนั้นคือ “ ละวางจุดยืนหรือลดทิฐิของแต่ละฝ่ายลง แล้วมานั่งคุยกันเพื่อยุติข้อขัดแย้ง” นี่คงจะนำความสุขกลับคืนมาได้เช่นกัน
------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น