วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ร.ร.หลวงพ่อปานคลองด่านอนุสรณ์6

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

พิธีย่ำพระสุริย์ศรี

พิธีย่ำพระสุริย์ศรี อำลาชีวิตราชการผู้บัญชาการทหารเรือ 8 ก.ย.54 หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ นำโดย พลเรือโท พงศ์ศักดิ์ ภูรีโรจน์ ผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ได้จัดพิธีย่ำพระสุริย์ศรี และงานเลี้ยงอำลาชีวิตราชการของ พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสที่ครบเกษียณอายุราชการ เพื่อเป็นเกียรติ และเป็นการแสดงมุทิตาจิตต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดของกองทัพเรือ ซึ่งรับราชการมาจนครบเกษียณอายุราชการ และได้มีการจัดแสดงกระโดดร่มโดยนักโดดร่มจากทุกเหล่าทัพ จำนวนกว่า 100 ชีวิต เพื่อเป็นเกียรติกับผู้บัญชาการทหารเรือ ณ สนามหน้ากองบัญชาการ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี สำหรับ พิธีย่ำพระสุริย์ศรี ซึ่งเรียกตามชื่อ เพลงพระสุริย์ศรี ซึ่งเป็นเพลงที่เกิดจากภูมิปัญญาทหารเรือไทย ที่พัฒนาจากจังหวะเพลงย่ำค่ำ มาเป็นเพลงบรรเลงรูปจบกระบวนของการแสดงดนตรีสยาม หรือเพลง FINALE (ฟีนาเล่ ) และด้วยเหตุผลที่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ เมื่อเชิญธงราชนาวีลงจากยอดเสา พลแตรเดี่ยวจะเป่าเพลง ย่ำค่ำ อันเป็นตำนานเก่าแก่สืบมาช้านาน จึงอนุโลมให้ใช้คำ ย่ำพระสุริย์ศรี กับพิธีการเช่นนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษนัก แต่มีความหมายในภาษาไทยว่า การจบ สิ้นสุด หรือยุติลงอย่างสง่างาม จึงสอดรับกับพิธีการของการอำลาชีวิตราชการอย่างกลมกลืน ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ เกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2494 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี โรงเรียนอำนวยศิลป์พระนคร โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 โรงเรียนนายเรือรุ่นที่ 67 หลักสูตรนายทหารสื่อสาร หลักสูตรนายทหารศูนย์ยุทธการ โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือรุ่นที่ 45 โรงเรียนเสนาธิการทหารเรืออังกฤษ วิทยาลัยการทัพเรือ รุ่นที่ 29 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 46 สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ หลักสูตร 1/79 Foreign Officers Tactical Intelligence กองทัพบก ประเทศออสเตรเลีย หลักสูตร Phychological Operations Unit Officer กองทัพบก ประเทศสหรัฐอเมริกา หลักสูตร Surface warfare Officer กองทัพเรือ ประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับตำแหน่งในชีวิตรับราชการ เป็นผู้บังคับการ เรือ ต.82 ผู้บังคับการเรือหลวงดอนเจดีย์ รักษาราชการนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้อำนวยการกองการวิจัยและพัฒนากรมยุทธการทหารเรือ ผู้ช่วยทูตทหารเรือไทย/โตเกียว และรักษาการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือไทย/โซล ผู้ช่วยเจ้ากรมยุทธการทหารเรือ รองเจ้ากรมยุทธการทหารเรือ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 1 กองเรือยุทธการ หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บัญชาการทหารเรือ และได้รับพระราชทานยศ พลเรือเก ในตำแหน่ง รองเสนาธิการทหาร เมื่อปี 2547 ก่อนจะดำรงตำแหน่ง ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ เมื่อปีพ.ศ.2548 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 รวมระยะเวลา 3 ปี “วันวารที่พากเพียร วันเกษียณที่ภาคภูมิ”

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554



วันงดสูบบุหรี่โลก เริ่มมีการจัดงานครั้งแรกในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2531 เนื่องจากองค์การอนามัยโลกเล็งเห็นอันตรายของบุหรี่และสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่ไม่สูบแต่ต้องมารับควันบุหรี่ด้วย จึงจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า World No Tobacco Day เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่สูบบุหรี่อยู่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม อีกทั้งยังได้ประกาศให้มีการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ที่ใช้ชื่อว่า World Spidemic ซึ่งสื่อถึงการสูบบุหรี่ที่เป็นเหมือนโรคระบาดที่ระบาดอยู่ทั่วโลก โดยในวันงดสูบบุหรี่โลกในแต่ละปี ก็จะมีคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลกที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2531 คือ บุหรี่หรือสุขภาพ ต้องเลือกสุขภาพ (Between tobacco and the health, choose health)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2532 คือ พิษของบุหรี่ต่อสตรี ยิ่งมีมากกว่าบุรุษ (Women and Tobacco: Added risk)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2533 คือ เติบโตอย่างสดใส ห่างไกลจากภัยบุหรี่ (Growing up without tobacco)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2534 คือ สถานที่สาธารณะและยวดยานปลอดบุหรี่ (Public places and transport: Better be tobacco free)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2535 คือ ที่ทำงานปลอดบุหรี่ สุขภาพดี ชีวีปลอดภัย (Tobacco free work places: Safer and healthier)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2536 คือ บุคลากรสาธารณสุขร่วมสร้างสรรค์สังคมปลอดบุหรี่ (Health services, our window to a tobacco – free world)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2537 คือ ทุกสื่อร่วมใจต้านภัยบุหรี่ (The media against tobacco)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2538 คือ บุหรี่ก่อความสูญเสียมากกว่าที่คุณคิด (Tobacco costs more than you think)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2539 คือ ศิลปะและกีฬาไม่พึ่งพาบุหรี่ (Sport and the arts: play it tobacco free)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2540 คือ ผนึกกำลังเพื่อสังคมปลอดบุหรี่ (United for a Tobacco – free world)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2541 คือ คนรุ่นใหม่ไม่สูบบุหรี่ (Growing up without tobacco)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2542 คือ อนาคตมีคุณค่า เมื่อบอกลา...เลิกบุหรี่ (Leave the pack behind)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2543 คือ บุหรี่คร่าชีวิต อย่าหลงผิดตกเป็นเหยื่อ (Tobacco kills don’t be Duped)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2544 คือ เห็นใจคนรอบข้าง ร่วมสร้างอากาศสดใส ปลอดจากภัยควันบุหรี่ (Second-Hand Smoke: Let’s Clear the Air)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2545 คือ กีฬาปลอดบุหรี่ ส่งผลดีต่อสุขภาพ (Tobacco Free Sports – Play it clean)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2546 คือ ภาพยนตร์ปลอดบุหรี่ ส่งผลดีต่อเยาวชน (Tobacco free films tobacco free fashion)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2547 คือ บุหรี่ : ยิ่งสูบ...ยิ่งจน (ครอบครัวปลอดบุหรี่ จะมั่งมีและแข็งแรง) (Tobacco and Poverty (A Vicious Circle))

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2548 คือ ทีมสุขภาพร่วมใจ ขจัดภัยบุหรี่ (Health Professionals and Tobacco Control)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2549 คือ บุหรี่ทุชนิดนำชีวิตสู่ความตาย (Tobacco: Deadly in any form or disguise)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2550 คือ ไร้ควันบุหรี่ สิ่งแวดล้อมดี ชีวีสดใส (100% Smoke-Free Environments: Create and Enjoy)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2551 คือ เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่ (Tobacco - free Youth)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2552 คือ บุหรี่มีพิษ ร่วมคิดเตือนภัย (Tobacco Health Warnings)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2553 คือ หญิงไทยฉลาด ไม่เป็นทาสตลาดบุหรี่ (Genderand Tobacco Withan Emphasis on Marketing to women)

คำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2554 คือ พิทักษ์สิทธิตามกฏหมาย มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่ (The WHO Framework Convention on Tobacco Control)

วันงดสูบบุหรี่โลก 2554

อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยก็ได้ตระหนักถึงความสูญเสีย ทางด้านชีวิตของประชากรที่เกิดจากการสูบบุหรี่ จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ รวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆ โดยการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะพยายามให้เกิดการเลิกสูบบุหรี่ ดังเช่นที่กระทรวงได้ประกาศบังคับใช้มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 ให้มีการพิมพ์คำเตือน และโทษของการสูบบุหรี่ที่ข้างซอง ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 มีนาคม พ.ศ.2548 เป็นต้นมา อีกทั้งยังมีกฏหมายที่ใช้คุ้มครองสุขภาพประชาชน ได้แก่

1. พระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ที่มีสาระสำคัญในการประกาศเขตปลอดบุหรี่ ซึ่งแบ่งเขตปลอดบุหรี่ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

- เขตปลอดบุหรี่อย่างแท้จริง เช่น รถยนต์โดยสารประจำทาง ทั้งแบบปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ รวมถึงแท็กซี่ ตู้รถไฟปรับอากาศ และห้องชมมหรสพ

- เขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด เช่น โรงเรียน ห้องสมุด แต่ยกเว้นห้องส่วนตัว

- เขตปลอดบุหรี่เกือบทั้งหมด เช่น สถานพยาบาล ศูนย์การค้า สถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ หากจะสูบก็ให้สูบเฉพาะในเขตสูบบุหรี่

- เขตปลอดบุหรี่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพื้นที่นั้นๆ เช่น ตู้รถไฟโดยสารทั่วไปที่ไม่ใช่แบบปรับอากาศ และร้านขายอาหารทั่วๆ ไป เฉพาะบริเวณที่มีระบบปรับอากาศ แต่ต้องจัดเขตสูบบุหรี่ไม่ให้เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด

2. พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่มีสาระสำคัญในการห้ามขายบุหรี่ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท รวมถึงห้ามขายสินค้าอื่นและแถมบุหรี่ให้ หรือขายบุหรี่แล้วแถมสินค้าอื่น และห้ามการโฆษณาทั้งทางตรงและทางอ้อม

วันงดสูบบุหรี่โลก 2554

โทษของบุหรี่

การสูบบุหรี่นั้นถือเป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งต่อผู้สูบเองและผู้อยู่ใกล้ชิดที่สูดเอาอากาศที่มีควันบุหรี่เข้าไป เพราะควันบุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และมีสารก่อมะเร็ง ไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารอันตรายที่สำคัญ เช่น

คาร์บอนมอนอกไซด์

ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถจับออกซิเจนได้เท่ากับเวลาปกติ หากได้รับจะเกิดการขาดออกซิเจน ทำให้มึนงง ตัดสินใจช้า เหนื่อยง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ

นิโคติน

เป็นสารระเหยในควันบุหรี่ มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง มีผลต่อต่อมหมวกไต ทำให้เกิดการหลั่งอิพิเนฟริน ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจ เต้นเร็วกว่าปกติ และไม่เป็นจังหวะ หลอดเลือดที่แขนและขาหดตัว เพิ่มไขมันในเส้นเลือด (ก้นกรองไม่ได้ทำให้ปริมาณนิโคตินลดลงได้)

ทาร์ หรือน้ำมันดิน

เป็นคราบมันข้นเหนียว สีน้ำตาลแก่ เกิดจากการเผาไหม้ของกระดาษและใบยาสูบ และเป็นสารก่อมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด, กล่องเสียง, หลอดลม. หลอดอาหาร, ไต, กระเพาะปัสสาวะ และอื่นๆ ร้อยละ 50 ของน้ำมันดินจะไปจับที่ปอด เกิดระคายเคือง ทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะ

จากการสำรวจพบว่าผู้ที่เป็นมะเร็งปอดนั้น ร้อยละ 90 เป็นผลเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ โดยมีผลวิจัยระบุว่า ผู้ที่สูบบุหรี่เกินวันละ 1 ซอง จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 5-20 เท่า

ผู้ที่สูบบุหรี่ยังเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ อาจมีอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอถี่จนไม่สามารถนอนได้ นอกจากนี้ทาร์ในควันบุหรี่จะสะสมอยู่ในปอด จะทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพอง ทำให้หายใจขัด หอบ และหากเป็นเรื้อรังอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ง่ายเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นยังพบว่าการสูบบุหรี่ ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล โรคความดันเลือดสูง โรคตับแข็ง โรคปริทนต์ โรคโพรงกระดูกอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคหัวใจ เป็นต้น และยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของผู้สูบบุหรี่อีกด้วย


ผลข้างเคียงต่อบุคคลอื่น

การสูบบุหรี่นอกจากจะเป็นอันตรายต่อผู้สูบเองแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อผู้ใกล้ชิดอีกด้วย คือ หากเด็กได้รับควันบุหรี่ จะป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หอบหืด หูชั้นนอกอักเสบเพิ่มมากขึ้น หากหญิงมีครรภ์ได้รับควันบุหรี่ จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มน้อยกว่าปกติ รวมทั้งมีโอกาสแท้ง และคลอดก่อนกำหนด อีกทั้งยังส่งผลต่อทารกในครรภ์ที่อาจทำให้สมองช้ากว่าปกติ มีความผิดปกติทางระบบประสาท และระบบความจำ

ขณะที่คู่สมรสของผู้สูบบุหรี่ มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอดมากกว่าคู่สมรสที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2 เท่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ 3 เท่า และเสียชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 4 ปีคนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม แม้บุหรี่จะมีโทษมากมาย แต่ก็ยังมีคนสูบ ทำให้รัฐต้องออกมาตรการ หรือกฎหมายควบคุมการสูบบุหรี่ด้วย ทั้ง สวนสาธารณะ, สนามบิน, สถานีรถไฟ, สถานศีกษา, ร้านค้า, ผับ, เธค และสวนอาหาร เป็นต้น หากฝ่าฝืนก็จะต้องเสียค่าปรับ

อืม… นอกจากบุหรี่จะมีโทษมหันต์ต่อผู้สูบและคนใกล้ชิดแล้ว การสูบผิดสถานที่อาจทำให้ติดคุก หรือเสียเงินได้เช่นกัน… ฉะนั้นเราลองหันมาเลิกสูบบุหรี่กันดีกว่าไหม เพื่อสุขภาพของคุณเอง รวมทั้งคนที่คุณรักด้วย

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554



สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง)บ้านราชาวดี
สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง) หรือเป็นที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งว่า บ้านราชาวดีหญิง เป็นหน่วยงานในสังกัด สำนักบริการสวัสดิการสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ความเป็นมา
สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง) เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2540 โดยแยกออกจากสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา เนื่องจากเด็กมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เกิดปัญหาความแออัดและยากต่อการดูแล
กรมประชาสงเคราะห์(เดิม) จึงอนุมัติให้แยกการดูแลออกเป็นสถานสงเคราะห์สำหรับเด็กชาย และเด็กหญิงซึ่งมีความบกพร่องทางสมองและปัญญา
ที่ตั้งอยู่เลขที่ 78/15 หมู่ที่ 1 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นที่ดินราชพัสดุโดยมีเนื้อที่ทั้งสิ้น 27 ไร่เศษ การก่อสร้างอาคาร สิ่งก่อสร้างต่างๆ ได้รับการบริจาคเงินและการสนับสนุนจากภาคเอกชน องค์กร ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป จึงสามารถเปิดดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2540 เป็นต้นมา
สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา(หญิง) มีภารกิจหลักในการให้การเลี้ยงดูเด็กหญิงอายุระหว่าง 7-18 ปี ที่มีความบกพร่องทางสมองและปัญญา โดยจัดให้มีบริการด้านปัจจัยสี่ บริการทางการแพทย์ การรักษาพยาบาล การสังคมสงเคราะห์การศึกษาพิเศษ ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ เพื่อให้เด็กในความอุปการะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างทัดเทียมกับบุคคลอื่น มีความสุขตามอัตภาพ
ปัจจุบันนี้สถานสงเคราะห์ฯให้การอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงจำนวน 565 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2553)
วัตถุประสงค์
1เพื่อให้การอุปการะเลี้ยงดูเด็กพิการทางสมองและปัญญาอายุระหว่าง 7-18 ปี โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
-เป็นเด็กกำพร้า ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู ไร้ที่พึ่ง ถูกทอดทิ้ง
-เป็นเด็กเร่ร่อนพลัดหลง ไม่สามารถติดตามบิดามารดา หรือผู้ปกครองได้
-เป็นเด็กที่ประสบปัญหาครอบครัว เช่น ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่สามารถให้การเลี้ยงดูได้อย่างเหมาะสม
บิดามารดาเจ็บป่วยเรื้อรังเป็นโรคจิตฟั่นเฟือน ฯลฯ
-เป็นเด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมทางสังคม ถูกละเมิดสิทธิต่างๆ อันเนื่องมาจากความบกพร่องทางปัญญา
2เพื่อเป็นหน่วยรองรับเด็กหญิงพิการทางสมองและปัญญาทั่วประเทศ ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน โดยการนำส่งของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรการกุศล ตลอดจนครอบครัวของผู้ประสบปัญหาโดยตรง
3เพื่อพัฒนา ฟื้นฟูสมรรถภาพของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ
4เพื่อให้เด็กสามารถใช้ศักยภาพที่ตนมีดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ
5เพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน บุคคลทั่วไป
ให้ยอมรับเด็กพิการทางสมองและปัญญาเป็นส่วนหนึ่งในสังคม

พันธกิจ
- ให้การเลี้ยงดู ฟื้นฟู พัฒนาเด็กพิการทางสมองและปัญญาหญิงให้มีศักยภาพ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามสภาพความพิการทั้งในชีวิตประจำวัน และสามารถออกไปดำเนินชีวิตร่วมกับคนในสังคมได้
- พัฒนาการจัดบริการแก่เด็กพิการทางสมองและปัญญาหญิงตามมาตรฐานการจัดบริการคนพิการในสถานสงเคราะห์
- สนับสนุนชุมชน และเครือข่ายให้มีส่วนร่วมในการจัดบริการสวัสดิการแก่เด็กพิการในสถานสงเคราะห์ และคนพิการในชุมชน
- พัฒนาระบบการบริหารจัดการและบุคลากร

เป้าหมาย
- เพื่อให้เด็กพิการทางสมองและปัญญา ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมต่อสภาพความพิการ และได้รับการปกป้องคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายที่ตนพึงมี
- เพื่อให้การเลี้ยงดูให้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการด้านต่างๆ สมวัย สามารถใช้ศักยภาพภายในตนเองได้อย่างใกล้เคียงบุคคลอื่นในสังคมภายนอก
- เพื่อให้เด็กได้รับการฟื้นฟูพัฒนาด้านจิตใจ เกิดทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์ สังคม และสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้โดยง่าย
- เพื่อให้การส่งเสริมด้านการศึกษาเฉพาะทาง ส่งเสริมทักษะทางอาชีพ ตลอดจนช่วยจัดหาอาชีพ และผู้มีอุปถัมภ์ที่เหมาะสมให้กับเด็กที่มีความพร้อม
- เพื่อติดตามครอบครัว และส่งกลับคืนสู่ความอุปการะของครอบครัว

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

วันครอบครัว


วันที่ 13 เมษายนของทุกปีนอกจากเป็นวันสงกรานต์ที่เราคนไทยได้ยึดถือเป็นประเพณีอันดีงามสืบต่อกันมาตั้งแต่ โบราณกาลแล้ว ถัดมาอีก 1 วันคือวันที่ 14 เมษายน ของทุกปีซึ่งคาบเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์เป็น “วันครอบครัว” ทั้งนี้ก็ เพื่อมุ่งหวังจะให้มีการฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ดั้งเดิมซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวการณ์ของเศรษฐกิจบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นช่วงที่คนไทยส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนาทำบุญเทศกาลสงกรานต์ จึงถือเป็นโอกาสรวมญาติ รวม ครอบครัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการี รดน้ำดำหัว ขอพรผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล และเพื่อความ อบอุ่นเป็นสุขของครอบครัว ตามประเพณีไทยที่เคยปฏิบัติกันมาและรัฐบาลที่ผ่านมายังได้กำหนดให้วันอาทิตย์เป็นวันครอบ ครัว เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของสถาบันครอบครัว และใช้เวลาว่างในวันหยุดสุดสัปดาห์ร่วม กันอีกทั้งยังส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างสมาชิกในครอบครัวและสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้สังคมไทยเป็นสังคม ที่มีครอบครัวแข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสังคมไทยในด้านต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของสังคม บุคคลจะไม่สามารถพัฒนาไปได้ดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ถ้าปราศจาก ครอบครัวที่ดี ดังนั้น การปลูกฝังให้บุคคลของชาติเป็นคนดีมีคุณภาพต้องเริ่มกันที่ครอบครัว ครอบครัวคือสถานที่บ่มฟักลักษณะ นิสัยที่ดีงามให้แก่เด็ก ๆ โดยมีผู้ใหญ่ให้การดูแลสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ลักษณะครอบครัวไทยจะมีผู้ใหญ่คอยดูแลสั่งสอน อบรม ลูกหลานจึงมีความได้เปรียบในการสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัวแม้ว่าในปัจจุบันครอบครัวไทยจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ภาวะเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ครอบครัวเล็กลง คือมีเพียงพ่อแม่และลูกเท่านั้น แต่เรายังมีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามและ ส่งเสริมสถาบันครอบครัว หรือกล่าวอีกนัยก็คือ เรายังมีผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นปู่-ย่า, ตา-ยาย คอยให้การดูแลสนับสุนอย่างใกล้ชิด ซึ่งลักษณะครอบครัวไทยตั้งแต่อดีตมานั้นเป็นครอบครัวที่มีคุณลักษณะพิเศษและมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยเฉพาะในด้านความ สัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว ซึ่งมีการเคารพต่อผู้อาวุโสการเชื่อฟังหัวหน้าครอบครัว และความเอื้ออาทรต่อกันในหมู่ญาติ พี่น้อง อีกทั้งยังมีผู้ใหญ่คอยดูแล สั่งสอน และอบรมลูกหลาน คุณลักษณะเหล่านี้ได้ ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย ทำให้เป็นสังคมแห่งการสมานฉันท์และช่วยเหลือเกื้อกูลกันแม้มีปัญหาหรืออุปสรรคใดเกิดขึ้นก็พร้อมจะหันหน้ามาปรึกษากันจนปัญหาทุเลาลงไปนำไปสู่สายใยรักและสายใยครอบครัวที่มีดุลยภาพพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กันด้วยความรักและความผูกพัน จึงมีความได้เปรียบกว่าคนชาติอื่น ๆในการสร้างความรักและความอบอุ่นในครอบครัวสิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นที่คนไทยจะต้องช่วยกันดำรงรักษาไว้และเสริมสร้างให้เข้มแข็งยิ่งๆขึ้นไป
บทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวที่พึงปฏิบัติต่อกัน
1. ให้ความรัก ความอบอุ่นและความเอื้ออาทรต่อกัน
2. หันหน้าเข้าหากันและยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
3. ช่วยเหลือ ดูแล เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน
4. ดูแลเอาใจใส่และให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น
5. รู้จักวางแผนการใช้จ่ายอย่างประหยัด/ไม่ฟุ่มเฟือย
6. รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
7. ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวรวมกันเช่น การเข้าวัดอบรมปฏิบัติธรรมนำครอบครัวอบอุ่นครอบครัวสนุกกับห้องสมุด ศิลปะสุดสัปดาห์
หลักในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่ง่าย ๆ สำหรับครอบครัวคือ ใช้หลัก 5 อ.
1.อ. อภัย เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำผิดพลาดไปบ้างให้นึกถึงคำว่าอภัยเสมอ และจะไม่นำเอาสิ่งที่ผิดพลาดนั้นมาพูดซ้ำเติมอีก
2.อ. เอื้อเฟื้อ สมาชิกทุกคนในครอบครัว ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องของฉันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน ฉันไม่เกี่ยวเช่น คุณพ่อซักผ้า แม่ถูบ้าน ลูกล้างจาน อย่าคิดว่าเป็นงานของใครคนใดคนหนึ่ง
3.อ. อารมณ์ขัน ฝึกให้มีอารมณ์ขันเสียบ้าง มีการกระเซ้าเย้าแหย่กันบ้างในบางโอกาสอาจเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เพื่อนและพี่สำหรับลูกก็ได้
4.อ. อดทน อดกลั้น อดออม ชีวิตครอบครัวที่จะต้องมี 3 อ นี้ด้วย อดทนต่อความยากลำบากต่าง ๆ ในครอบครัวอดกลั้นต่อ สิ่งที่มากระทบจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือกิเลสที่มากระตุ้นเราให้หลุ่มหลง และให้รู้จักอดออมเงินทองที่หามาได้แบ่งไว้ใช้เป็นสัด ส่วน ส่วนที่หนึ่ง ใช้จ่ายในครอบครัวส่วนที่สองสำหรับการศึกษาของบุตร สวนที่สามสำหรับค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บไข้ ส่วนที่สี่บริจาคทานทำบุญสร้างกุศลไว้เป็นเสบียง เมื่อยามจะจากโลกนี้ไป แล้วอีกส่วนหนึ่ง เก็บออมไว้ใช้เมื่อยามแก่เฒ่า
5.อ. อบอุ่น เมื่อเราปฏิบัติได้ 4 อ. ข้างต้นแล้ว อ.ที่ 5 ก็จะตามมาอย่างแน่นอน คือ อบอุ่น เมื่อสมาชิก ทุกคนรู้หน้าที่และบทบาทของตัวเองแล้ว ชีวิตครอบครัวก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “สุขภาพจิตเริ่มต้นที่บ้าน” ดังคำขวัญที่ว่าไว้อย่างแน่นอน จากหลักในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันจะเห็นได้ว่า สมาชิกทุกคนในครอบครัวต่างมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบและความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะการเสียสละเวลาแก่ครอบครัวเพื่อสร้างความสุขความสัมพันธ์ที่ดีของสมาชิกในบ้าน เพราะการได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากเท่าใดทุกคนในครอบครัวจะมีโอกาสได้พูดคุยอบรมสั่งสอน รับฟังความคิดเห็น ให้ความช่วยเหลือหรือมีคำแนะนำที่ดีให้แก่กัน สร้างความผูกพัน ความรักใคร่สามัคคีและที่สำคัญคือเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกหลาน เมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้นในอนาคต วันครอบครัว จึงถือเป็นวันที่มีความสำคัญวันหนึ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเพราะเป็นวันที่รวมความหมาย ของความอบอุ่นในครอบครัวเพื่อมอบแก่สมาชิกทุกคนในครอบครัว ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในวันครอบครัวเท่านั้น แต่หมายถึงทุกวันที่มีโอกาสด้วย

ในเทศกาลวันครอบครัวนี้เพื่อชีวิตที่สมบูรณ์ ทั้งการงานและครอบครัว
ท่านได้ดูแลครอบครัว(คู่ชีวิต ลูก พ่อ แม่ พี่น้อง) ดีแล้วหรือยัง ?

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

สโมสรลูกเสือนาวี



ด้วยสโมสรลูกเสือนาวี จัดมีการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือสมุทรขั้นความรู้เบื้องต้น และฝึกภาคปฏิบัติทางทะเล รุ่นที่ ๑๕ ให้กับสมาชิกของสโมสร ฯ ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ เมษายน ๒๕๕๔ ณ ค่ายลูกเสือชั่วคราว มารีน รีสอร์ท (หาดเตยงาม)หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ( ผู้เข้าอบรมเป็นสมาชิกที่ผ่านการฝึกอบรมขั้นความรู้ทั่วไปทุกรุ่น )
สำหรับการฝึกอบรมภาคปฏิบัติทางทะเล รุ่นที่ ๑๕ ครั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกของสโมสรฯ ได้เพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์ สนุกสนาน สามัคคี เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกผู้เข้ารับการอบรมด้วยกัน โดยมี พลเรือตรี สมัคร หนูไพโรจน์ อุปนายกสมาคมฯฝ่ายบริหารเป็นผู้อำนวยการฝึก






















สโมสรลูกเสือนาวี

ความเป็นมาของสโมสรลูกเสือนาวี
ก่อนที่จะมาเป็นสโมสรลูกเสือนาวีในยุคปัจจุบันนี้ ได้มีคณะก่อตั้งรวมตัวประชุมปรึกษาหารือมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ก่อนปี 2537 ในครั้งนั้นสมาชิกได้ดำริจะก่อตั้ง โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมผู้บังคับบัญชาลูกเสือสมุทร” มุ่งเฉพาะนักธุรกิจภาคเอกชน ข้าราชการและผู้สนใจในกิจการลูกเสือสมุทร ให้เข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมสนับสนุนกิจการลูกเสือในโรงเรียน แต่การก่อตั้งในรูปแบบสมาคมต้องชะงักล่าช้า เพราะต้องเตรียมการหลายด้าน จนกระทั่งก่อนการเตรียมงานชุมนุมลูกเสือโลกครั้งที่ 20 ในประเทศไทย จึงได้มีระเบียบข้อบังคับออกมาใหม่ในรูปของสโมสร โดยกรรมการ บริหารลูกเสือแห่งชาติได้ออกข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติว่าด้วย การก่อตั้งสโมสรลูกเสือ พ.ศ. 2545 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2545 พล.ร.ต. สมัคร หนูไพโรจน์ ผู้ริเริ่มมาตั้งแต่ต้นจึงได้ร่วมกับ คณะกรรมการก่อตั้งประชุมลงมติเชิญ พล.ร.อ. สุวัชชัย เกษมศุข อดีตผู้บัญชาการทหารเรือให้เป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อตั้งและได้รายงานผลการประชุมการดำเนินการก่อตั้งสโมสรลูกเสือนาวี ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2545 เสนอคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ และได้รับอนุญาตรับทราบการดำเนิน การก่อตั้งสโมสรลูกเสือนาวี เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 หลังจากก่อตั้งแล้วกิจการของสโมสรลูกเสือนาวีจึงได้พัฒนาเจริญก้าวหน้าสืบมาตามลำดับ ได้มีการฝึกอบรมขั้นความรู้ทั่วไป และขั้นความรู้เบื้องต้น (BTC) และขั้นความรู้ขั้นสูงระดับผู้นำ (ATC) โดยฝึกอบรมหลักการลูกเสือ ทั้งภาคทฤษฎีและภาพปฏิบัติทางทะเลรวม 3 วัน รวมทั้งฝึกอบรมขั้นความรู้ขั้นสูงระดับผู้นำ (ATC) ซึ่งผู้เข้าอบรม ทั้งหมดเป็นนักธุรกิจภาคเอกชน ข้าราชการและผู้ที่สนใจในกิจการลูกเสือสมุทรอาสา สมัครมาเข้ารับการฝึกและเข้าเป็นสมาชิกของลูกเสือนาวี การฝึกอบรมขั้นความรู้ทั่วไปเป็นการฝึกครั้งแรกจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการเตรียมการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือสมุทรขั้นความรู้เบื้องต้น และฝึกภาคปฏิบัติทางทะเลรวม 3 วัน (BTC) และฝึกอบรมขั้นความรู้ชั้นสูงระดับผู้นำ (ATC)

วัตถุประสงค์สโมสรลูกเสือนาวี
1. สนองต่อวัตถุประสงค์ของคณะลูกเสือแห่งชาติ
2. ส่งเสริมให้สมาชิกยึดมั่น และปฏิบัติตามคำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ
3. ให้การช่วยเหลือ สร้างสรรค์สังคม ส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการลูกเสือและกิจการของคณะลูกเสือแห่งชาติ
4. สนับสนุน ส่งเสริม และเผยแพร่กิจการของลูกเสือสมุทรให้แพร่หลาย
5. เสริมสร้างและพัฒนากิจการลูกเสือสมุทรให้เจริญก้าวหน้า โดยมุ่งให้สมาชิกทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และบุคคลทั่วไปที่มีจิตใจเสียสละ เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการของลูกเสือสมุทร
6. ส่งเสริมความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูล ทั้งด้านวิชาการ การฝึกอบรม ตลอดจนให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกเสือสมุทร

การดำเนินงานของสโมสร
หลังการก่อตั้งสโมสรลูกเสือนาวีเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2545 สโมสรได้ทำการประกาศรับสมัครสมาชิก และได้มีผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกสโมสรจำนวนมาก ทั้งข้าราชการสังกัดต่างๆ นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไปที่สนใจในกิจการลูกเสือ ปัจจุบันสโมสรมีสมาชิกทั้งสิ้น 657 คน
ระยะเวลา 5 ปีเต็ม นับแต่เริ่มก่อตั้งสมาคม จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 สโมสรจัดให้มีการฝึกอบรมขั้นความรู้ทั่วไป 1 วัน จำนวน 32 รุ่น มีสมาชิกเข้ารับการฝึกรวม 900 คน และฝึกขั้นความรู้เบื้องต้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติทางทะเล 3 วัน จำนวน 9 รุ่น มีสมาชิกเข้ารับการฝึกรวม 400 คน
หลังจากสมาชิกได้รับการฝึกอบรมขั้นความรู้ทั่วไป และขั้นความรู้เบื้องต้นแล้ว สโมสรยังได้จัดเตรียมกิจกรรมให้กับสมาชิกอย่างต่อเนื่อง โดยการร่วมกิจกรรมแต่ละครั้ง สมาชิกของสโมสรจะร่วมใจกันเสียสละ ให้การสนับสนุน และช่วยเหลือการกุศลต่างๆ
-------------

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

การปรับราคาชดใช้แทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ไม่สามารถส่งคืนตามกฎหมาย


การปรับราคาชดใช้แทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ไม่สามารถส่งคืนตามกฎหมาย
กรมกำลังพลทหารเรือ แจ้งว่า คณะรัฐมนตรีมีมติให้มีการปรับราคาชดใช้แทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ไม่สามารถส่งคืนตามกฎหมาย ในทุก ๓ ปี โดยกฎหมายว่าด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่าง ๆ ได้บัญญัติกรณีที่ต้องส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ดังนี้
- เมื่อได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงขึ้นในตระกูลใดต้องส่งคืน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นรองของตระกูลนั้น
- กรณีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เรียกคืน ต้องส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตราตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
- เมื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์วายชนม์ ผู้รับมรดกต้องส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืนทุกชั้นตรา ยกเว้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ชั้นสูงสุด
- ถ้าส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืนตามที่กฎหมายบัญญัติไม่ได้ด้วยประการใด ๆ ต้องชดใช้ตามราคาเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น
สำหรับการปรับราคาในครั้งนี้ เป็นการปรับราคาประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดราคาชดใช้แทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ไม่สามารถส่งคืนตามกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ พุทธศักราช ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖
สอบถามรายละเอียดได้ที่ กองเสมียนตรา กรมกำลังพลทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ภายในกองทัพเรือ ๕๔๖๗๒ (ที่มา : กพ.ทร.)

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน จัดงาน ๗๐ ปี กองพลจันทบุรี


หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน จัดงาน ๗๐ ปี กองพลจันทบุรี
หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กำหนดจัดงาน ๗๐ ปี กองพลจันทบุรี ในวันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายตากสิน อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยมี พลเรือโท พงศ์ศักดิ์ ภูรีโรจน์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นประธานในพิธี ฯ
การจัดงาน ๗๐ ปี กองพลจันทบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสดุดีและรำลึกถึงวีรกรรมของ ผู้กล้าหาญชาวจังหวัดจันทบุรี และทหารนาวิกโยธินที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันต่อต้านการรุกรานของฝรั่งเศสในสงครามกรณีพิพาทไทย - อินโดจีน ที่เกิดขึ้นระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ - ๒๔๘๔ โดยมี นาวาตรี ทองหล่อ ขำหิรัญ เป็นผู้บัญชาการกองพลจันทบุรี ซึ่งสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับความสูญเสีย และไทยได้ รักษาความเป็นอธิปไตยของชาติไว้ได้จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของกองพลจันทบุรี
หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ขอเชิญร่วมงาน ๗๐ ปี กองพลจันทบุรี ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว สำหรับผู้ที่มีความประสงค์บริจาคเงินเพื่อเป็นกองทุนในการจัดสร้างอนุสรณ์สถาน กองพลจันทบุรี กรุณา ติดต่อได้โดยตรงที่ กองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน หมายเลขโทรศัพท์ ๐๓๘ ๓๓๔ ๒๗๕ หรือที่ กิจการพลเรือน กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด หมายเลขโทรศัพท์ ๐๓๙ ๓๑๒ ๓๓๔
(ที่มา : นย.)

รับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ


กองทัพเรือ รับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๔
กองทัพเรือ เปิดรับสมัครบุคคลพลเรือนเพื่อสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๔ เพื่อเข้าศึกษาในหลักสูตรโรงเรียนเตรียมทหาร โดยผู้สมัครที่กำลังศึกษาหรือสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตามโครงการหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือเทียบเท่า เป็นชายโสด สัญชาติไทย อายุระหว่าง ๑๔ - ๑๗ ปี (เกิดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๐) มีขนาดร่างกาย ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ โดยมีส่วนสูง ๑๕๕ - ๑๖๑ เซนติเมตร น้ำหนัก ๔๐ - ๔๖ กิโลกรัม
กำหนดรับสมัครทางไปรษณีย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ มกราคม ถึงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และสมัครด้วยตนเอง ที่ โรงเรียนนายเรืออากาศ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๙ ถึงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ไม่เว้นวันหยุดราชการ สำหรับหลักฐานที่ต้องใช้ในวันรับสมัคร ประกอบด้วย เอกสารรับรองผลการศึกษา,สำเนาทะเบียนบ้านของผู้สมัครและของบิดา มารดาผู้ให้กำเนิด, เอกสารการเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุล (ถ้ามี), เอกสารขอรับสิทธิ์คะแนนเพิ่มเติม
สนใจซื้อระเบียบการรับสมัครในราคาชุดละ ๖๐ บาท ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันปิดรับสมัคร (๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔) พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สามารถซื้อได้ที่ โรงเรียนนายเรือ, โรงเรียนนายเรืออากาศ, ราชนาวิกสภา, กรมการเงินทหารเรือ, ร้านค้าสวัสดิการทหารเรือ, สมาคมภริยาทหารเรือ, สำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดซื้อได้ที่ โรงเรียนเตรียมทหาร จังหวัดนครนายก, ฐานทัพเรือสัตหีบ, ฐานทัพเรือสงขลา, กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ ๓ จังหวัดภูเก็ต, สถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือ ส.ทร.๕ สัตหีบ, สถานีวัดความสั่นสะเทือนกองทัพเรือ จังหวัดเชียงใหม่ และค่ายตากสินมหาราช หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี
หรือสั่งซื้อระเบียบการรับสมัครทางไปรษณีย์ ราคาชุดละ ๑๐๐ บาท โดยใช้ตั๋วแลกเงินทางไปรษณีย์ หรือธนาณัติ สั่งจ่ายที่ไปรษณีย์สมุทรปราการ ส่งในนาม "สำนักงานสอบคัดเลือก" โรงเรียนนายเรือ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ รหัส ๑๐๒๗๐ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๔๗๕ ๓๘๙๐, ๐ ๒๔๗๕ ๓๙๘๐ และ ๐ ๒๔๗๕ ๓๙๙๐ (ที่มา : รร.นร.)