วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555
การจัดตั้งโรงเรียนนายเรือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เหตุการณ์รบทางเรือในวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ ที่สิ้นสุดลง ด้วยการ ที่ไทยต้องถูกปรับ และสูญเสียดินแดนบางส่วนไปนั้น เป็นบทเรียนอันมีค่า สำหรับประเทศไทย ที่จะต้องรีบเร่ง ปรับปรุงทั้งองค์วัตถุและองค์บุคคล เพื่อให้ใามารถพึ่งตนเองได้ โดยเร็วที่สุด พระบาทสมเด็จ พระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริในอันที่จะต้องรีบให้การ ศึกษาแก่คนไทย ในเรื่องการทหารเรือ เพื่อให้สามารถ รับตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ในเรือหลวงแทนชาวต่างประเทศ
ใน พ.ศ.๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งพระราชโอรสหลาย พระองค์ไปศึกษา วิชาด้านการปกครอง การทหารบก และ การทหารเรือ ณ ประเทศในทวีปยุโรป เพื่อนำวิชาที่ศึกษา มาปรับปรุง แก้ไขบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมอารยประเทศ ในโอกาสนี้ได้ ทรงส่งสมเด็จ พระเจ้าลูกยากเธอ พระองค์เจ้า อาภากรเกียรติวงศ์ ไปศึกษวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ เป็นพระองค์แรก และได้ทรงสำเร็จ การศึกษา จากประเทศอังกฤษ เสด็จถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ แล้วทรงพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็นนายเรือโท นับว่าเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกที่เป็นนายทหารเรือ ที่ทรงสำเร็จ การศึกษา จากประเทศอังกฤษ
ในเมืองไทยเองก็โปรดฯ ให้กรมทหารเรือ ซึ่งขณะนั้น นายพลเรือโท พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่น ปราบปรปักษ์ ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ เริ่มจัดให้มีการฝึกสอน วิชาการทหารเรือขึ้น โดยอาศัย คนต่างชาติ ที่จ้างไว้ใช้ราชการ เป็นครูผู้ฝึกสอน ตอนแรกทรงจัดตั้งโรงเรียนนายร้อย ทหารเรือและ โรงเรียนนายสิบ ทหารเรือขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๘ (ไม่ปรากฎหลักฐานว่า มีสถานที่ตั้งโรงเรียนอยู่ ณ ที่ใด) โดยคัดเลือกบุตรหลาน ข้าราชการทหารเรือ เข้าเป็นนักเรียน วิชาที่เรียนมี ทหารราบ การปืน เป็นต้น ครูก็ใช้ฝรั่งชาติเดนมาร์ก ที่รับราชการอยู่ ในกรมทหารเรือ เป็นผู้ฝึกสอน ผู้ที่เรียนสำเร็จ จากโรงเรียนนายร้อย ทหารเรือจะได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นทหารไป ทำหน้าที่ในเรือ หรือซ่อม ส่วนผู้ที่สำเร็จจาก โรงเรียนนายสิบ ทหารเรือ ถ้าสอบได้คะแนนดี ก็จะได้รับเลือสงไปเข้า โรงเรียนนายร้อย ทหารเรือนอกนั้น จะได้รับแต่งตั้งยศ เป็นนายสิบ (จ่า) บรรจุตามเรือ และป้อมต่าง ๆ
ต่อมาเมื่อ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ทรงได้รับพระราชทาน เลื่อน พระอิสริยยศ ขึ้นจนถึง นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พระองค์ท่านได้ทรงพระอุตสาหะวิระยะ อย่างแรงกล้าที่จะให้คนไทย มีความรู้ความสามารถในกิจการ
ทหารเรือ เพื่อเข้ารับราชการ แทนชาวต่างประเทศ สมตามพระราชประสงค์ของ พระราชบิดาได้โดย สมบูรณ์และ ด้วยพระเกียรติคุณของพระองค์ ท่านที่ได้ทรงบากบั่นก่อสร้าง กองทัพเรือไทยให้ แข็งแกร่งขึ้นนี้ จึงเป็นการสมควร อย่างยิ่งที่พระองค์ท่าน ได้รับการขนานนาม จากกองทัพเรือใน รัชกาลปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ว่า "พระบิดาขอ่งกาองทัพเรือไทย"
เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนนายเรือขึ้นเป็นครั้งแรก ในสมัย ต่อมาเรียกว่า "โรงเรียนนายทหารเรือ"โดยมีความมุ่งหมายว่าผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้แล้วย่อมจะได้รับพระราชทานยศเป็นนายทหารเรือ ชั้นสัญญาบัตร
สมัยเริ่มแรกนั้น นายพลเรือโท กรมหมื่นปราบปรปักษ์ (พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์) เป็น ผู้บัญชาการกรม ทหารเรือ นายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ (Audre du plesis de Richelieu) ชาติเดนมาร์กเป็น รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
ในขณะนั้นตัวโรงเรียนไม่มี กรมทหารเรือจึงใช้เรือพระที่นั่งมหาจักรี เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ และอาคาร ในบริเวณนันทอุทยาน เป็นสถานที่ชั่วคราว นอกจากนี้ยังใช้ เรือหลวงสุครีพครองเมือง และเรือหลวงสุครีพ ครองเมือง เป็นสถานที่เรียนอีกด้วย การเรียนอยู่ใน การบังคับบัญชาของ นายนาวาโท ไซเดอร์บิน (Seidelin) ชาติเดนมาร์ก ซึ่งเป็นผู้บังคับการเรือ และเป็นผู้บังคับการโรงเรียน จึงนับว่าเป็นผู้บังคับการ โรงเรียนนายเรือ เป็นคนแรก คราวแรกนั้นมีนักเรียนจำนวน ๑๒ นาย ทำการคัดเลือกเอา ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และ ความประพฤติดี จากพลทหารเรือจ่าจำพวกนายท้ายเรือใหญ่ และจากนักเรียน ของโรงเรียนนายร้อยทหารเรือ
วิชาที่ให้นักเรียนศึกษามีวิชาการเรือ เลขคณิต ทหารราบ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และการฝึกหัด ศึกษาอย่างเดียวกับคนประจำเรือนอกจากนี้ยังมีการฝึกหัดปืนใหญ่เรือด้วย อาจารย์ที่สอนใช ้ทั้งอาจารย์ไทย และอาจารย์ชาวต่างประเทศ
การแต่งกายแต่งเครื่องแบบกะลาสี คาดเข็มขัดคันชีพ ในเวลาไปกิจธุระนอกโรงเรียน หรือกลับไป เยี่ยมบ้าน นายหมวด และผู้ช่วยนายหมวด แต่งกายอย่างนายทหาร หน้าหมวกทองเหลือง แบบพันจ่าแต่เล็กกว่า สวมหมวกแก็บคาดมีดเหน็บ
ต่อมานายนาวาโท ไซเดอร์ลิน ลากลับไปเยี่ยมบ้าน ที่ประเทศเดนมาร์ก นายร้อยเอก หม่อมไพชยนต์เทพ (ม.ร.ว.พิณ สนิทวงศ์ โอรสของนายพลเรือโท พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์) ได้รับตำแหน่ง ผู้บังคับการ โรงเรียน นายทหารเรือ แทนนับว่า เป็นผู้บังคับการ โรงเรียนนายทหารเรือ คนที่ ๒
เมื่อจำนวนนักเรียนทวีมากขึ้นอีก ทำให้ตึกที่ใช้เป็นสถานที่เรียนคับแคบเกินไป ดังนั้น ในพ.ศ.๒๔๔๔ (ร.ศ.๑๒๑) โรงเรียนนายเรือจึงย้ายจากนันทอุทยาน ข้ามฟากไปอยู่ที่ พระตำหนักสุนันทาลัย ปากคลองตลาด (ที่ตั้ง ร.ร.ราชินี ปัจจุบัน) เป็นสถานที่พักอาศัยเรียนชั่วคราว เนื่องจาก การสร้างตัวอาคารถาวร ของโรงเรียน นายเรือ ในพระราชวังเดิม ยังไม่เสร็จเรียบร้อยซึ่งพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าพระราชทานใช้เป็นที่ตั้ง
พระปิยะมหาราช กับ การปรับปรุงกิจการทหารเรือ
การปรับปรุงกิจการทหารเรือ
ภายหลัง จากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ กลับจากประพาส ต่างประเทศแล้ว ทรงมี พระราชดำริจะปรับปรุงการปกครองบ้านเมือง การทหาร และกิจการอื่น ๆ ของประเทศไทย ให้ทัดเทียม อารยประเทศ สำหรักิจการทางด้านทหารเรือนั้น ก็ได้มี การปรับปรุง เช่นกัน มีการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แบบใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นเก็บรักษาไว้ที่กรมแสง (คือ กรมสรรพาวุธทหารเรือในปัจจุบัน) และ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ พระองค์เจ้า สายสนิทวงศ์ เป็นผู้บังคับการกรมแสง กรมแสง จึงได้จัดทหาร ส่วนหนึ่งมาฝึก ใช้อาวุธชนิดนี้ แก๊ทลิ่ง เข้ามาและจัดเป็นอาวุธของกรมแสง กรมแสง จึงได้จัดการ ส่วนหนึ่ง มาฝึกใช้อาวุธชนิดนี้ ต่อมากองทหารส่วนนี้ ได้ถูกจัดเป็น กรมใหม่ อีกกรมหนึ่งเรียกว่า กรมทหารแคตลิงกัน แต่อย่างไรก็ตาม กรมแสงในสมัยนั้น ยังมิได้มีลักษณะทหารเรือมาก่อน จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๔๒๑ ทางราชการ ได้สั่งซื้อ เรือเวสาตรี เข้ามาเป็นเรือพระ-ที่นั่งจึงโปรดเกล้าฯให้หลวงชลยุทธโยธินทร์ (Andre du Plesis de Richelieu) ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดกรมแสง เป็นผู้บังคับการเรือ พระที่นั่งเวสาตรีอีก ตำแหน่งหนึ่ง ทหารที่ลงประจำเรือ พระที่นั่งเวสาตรี ก็เป็นทหารของกรมแสงทั้งหมด หลวงชลยุทธโยธินทร์ จึงรับหน้าที่ ฝึกทหาร กรมแสงทั้งฝ่ายบกและฝ่ายเรือ ต่อมาได้ โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้า สายสนิทวงศ์จัดตั้ง กองทหาร ตามชายทะเลฝั่ง ตะวันออก เพื่อป้องกันรักษาหัวเมืองชายทะเล และ เพื่อปราบปราม โจรสลัด ที่มีชุกชุม อยู่ในสมัยนั้น กับให้พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ปกครองดูและทหาร ประจำป้อมทางปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งภายหลัง ได้โอนมาเป็นของทหารเรืออีกด้วย ดังนั้นก่อนที่จะจัด ตั้งกรมทหารเรือ พระองค์เจ้า สายสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับ การกรมแสงได้รับภาระหน้าที่หลายอย่าง และมี ทหารหลายหน่วยอยู่ในบังคับบัญชา เช่น เรือพระที่นั่งเวสาตรี และเรือพระที่นั่งลำอื่น ๆ กรมทหารแคตลิงกัน ป้องทางปากน้ำเจ้าพระยา และ กองทหารเรือ ชายทะเล ในทาง ปฏิบัติ พระองค์เจ้า สายสนิทวงศ์ขึ้นกับสมุหพระกลาโหม และฟังพระกระแส รับสั่ง จากพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ใน ปี พ.ศ.๒๔๒๘ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (วังหน้า) เสด็จทิวงคต พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เลิกการมีประเพณีวังหน้า และทรงสถาปนาสมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหา วชิรุณหิศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทหาร ของวังหน้า ทั้งทางบกและ ทางเรือ ถูกยุบไป โดยโอนเรือ ในความปกครอง ของวังหน้าไปขึ้นอยู่ใน สังกัดของกรมเรือ พระที่นั่งเวสาตรี และ กรมอรสุมพล ทหารเรือ วังหน้าที่ชำนาญการทะเลอยู่แล้วให้ โอนไปอยู่ในสังกัดกรมแสง ซึ่งเป็นกรม ที่ตั้งขึ้นมาใหม่
การจัดการทหารในปี พ.ศ.๒๔๒๘ นี้ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทหารเรือได้แบ่งออก เป็นเพียง ๒ กรม คือ
๑. กรมเรือพระที่นั่ง มีนายพลเรือโท พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เป็นผู้บังคับการ และ พระองค์เจ้าขจร จรัสวงศ์ เป็นรองผู้บังคับการ ทหารที่มาประจำกรมนี้ ได้โอนมาจาก กรมทหารแคตลิงกัน ในกรมแสงเดิม รวมทั้งกองทหารมะริ ในกรมแสงก็ได้โอนมาขึ้น ในบังคับบัญชากรมนี้ด้วย เรือในสังกัดกรมนี้มีอยู่ด้วยกัน ๙ ลำ คือ เรือพระที่นั่งเวสาตรี เรืออรรคราชวรเดช เรือนฤเบนทร์บุตรี และเรือมณีเมขลา
๒. กรมอรสุมพล มีพระยาประภากรวงศ์ (ชาย บุนนาค) เป็นผู้บังคับบัญชา มีตำแหน่ง เป็นจางวาง กรมอรสุมพล ปกครองบังคับบัญชาบรรดาเรือซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรือรบ และคงม ีกรมอาสามอญ (ทหารมะรีนเดิม) และกรมอาสาจามรวมอยู่ด้วย เรือในสังกัดกรมอรสุมพลมี ๘ ลำ ด้วยกัน คือ เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือยงยศ อโยชฌิยา เรือพิทยัมรณยุทธ เรือสยามมกุฎไชยสิทธิ์ เรือสยามมูปรัสดัมภ์ เรือหาญหักศัตรู เรือต่อสู้ไพรินทร์ และ เรืออะพอลโล
พระปิยะมหาราช
พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือ การประกาศเลิกทาส ทำให้ปวงชนชาวไทยได้เป็นไทมาจวบจนทุกวันนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระพุทธเจ้าหลวง ทรงเป็นรัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบรมราชสมภพเมื่อ วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. 2411) รวมสิริดำรงราชสมบัติ 42 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา
พระองค์ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ (ต่อมาภายหลังในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเจ้านายฝ่ายในให้ถูกต้องชัดเจนตามโบราณราชประเพณีนิยมยุคถัดมาเป็น สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี) ได้รับพระราชทานนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร
พระองค์ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชารวม 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2404 สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ ได้รับการสถาปนาให้ขึ้นทรงกรมเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และเมื่อ พ.ศ. 2409 พระองค์ทรงผนวชตามราชประเพณี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังจากการทรงผนวช พระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2410 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตภายหลังทรงเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา โดยก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า "พระราชดำริทรงเห็นว่า เจ้านายซึ่งจะสืบพระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ พระเจ้าลูกยาเธอก็ได้ พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดีพร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะรักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร" ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเสด็จสวรรคต จึงได้มีการประชุมปรึกษาเรื่องการถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งในที่ประชุมนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมนั้นมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังนั้น พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา โดยในขณะนั้น ทรงมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้น จึงได้แต่งตั้งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะทรงมีพระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า
" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต มหันตวรฤทธิเดช สรรวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว"
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา
วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555
หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กำหนดจัดพิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี ๒๕๕๕ ณ วัดแสนตุ้ง ตำบลแสนตุ้ง อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด เพื่อสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นเจ้าภาพในการถวายผ้ากฐิน ตามวัน เวลา และสถานที่หรือบริจาคร่วมการกุศลได้ที่ กองการเงิน กองบัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ๒๐๑๘๐ หมายเลขโทรศัพท์ภายใน ๖๑๑๐๐ หรือ ๐๓๘ ๔๓๗ ๗๗๒ หรือบริจาคผ่านธนาคารทหารไทย สาขาสัตหีบ บัญชีออมทรัพย์ชื่อ "เงินกฐิน นย." หมายเลขบัญชี ๓๐๒ - ๒ - ๖๐๘๐๐ - ๘
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)